สำหรับกีฬายิมนาสติกนั้นไม่มีหลักฐานระบุชัดเจน แต่มีข้อสันนิษฐานว่าชาวกรีกโบราณนั้นเป็นประเทศแรกที่สนใจ และได้มีบทบาทต่อกีฬายิมนาสติก ซึ่งจะเห็นได้จากคำว่า ยิมนาสติก ก็เป็นภาษากรีกโบราณ หมายถึงศิลปะแห่งการเปลือยเปล่า ทั้งนี้เพราะในสมัยกรีกมีการออกกาลังกายทุกประเภท เช่น การวิ่ง การเล่นผาดโผน ศิลปะการต่อสู้ เป็นต้นจะไม่สวมเครื่องแต่งกายมีการประกวดทรวดทรง แข่งขันกีฬากลางแจ้ง ผู้ที่ชนะก็ถูกสร้างรูปปั้นแสดงไว้บริเวณสนามกีฬา ที่เรียกว่ายิมเนเซียม
- ต่อมาเมื่อชาวโรมันได้รุกรานประเทศกรีก จึงได้นำยิมนาสติกมาฝึกให้กับทหาร เพื่อให้แก่กองทัพแข็งแกร่งขึ้น แต่เมื่ออาณาจักรโรมันได้เสื่อมอำนาจลง กิจกรรมยิมนาสติกก็ได้รับความสนใจและความนิยมน้อยลงตามไปด้วย จนกระทั่งถึงยุคกลาง ระหว่างศตวรรษที่ 14-16 ( พ.ศ. 1943-พ.ศ. 2143 ) กิจกรรมยิมนาสติกของกรีกก็ได้รับการฟื้นฟู ประชาชนมีความสนใจมากขึ้น จึงทำให้กิจกรรมยิมนาสติกแพร่หลายมากขึ้นไปในทวีปยุโรป
- โดยในปี พ.ศ. 2266-2333 นายโจฮัน เบสโดว์ (Johann Basedow) จากเยอรมันนี นักการศึกษาที่สำคัญได้บรรจุการออกกำลังกายแบบยิมนาสติกเข้าไว้ในหลักสูตรของโรงเรียน เมื่อปี พ.ศ. 2319 จากนั้นในปี พ.ศ. 2302-2382 นักการศึกษาผู้หนึ่งคือ นายโจฮัน กัตส์ มัธส์ (Johann Guts Muths) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "คุณปู่แห่งกีฬายิมนาสติก" ได้บรรจุวิชายิมนาสติกเข้าไว้ในหลักสูตรของโรงเรียนปรัชเซีย และท่านผู้นี้ยังได้เขียนตำราที่มีคุณค่าต่อการศึกษาไว้หลายเล่ม รวมทั้งตำรายิมนาสติกสำหรับเยาวชนด้วย นับว่าเป็นตำรายิมนาสติกเล่มแรกของโลก
ต่อจากนั้นในปี พ.ศ. 2353-2401 นักศึกษาที่มีความสำคัญต่อวงการพลศึกษาอีกท่านหนึ่งคือ นายอดอฟ สปีช (Adole Spiess) ชาวสวิส เป็นผู้เสนอให้บรรจุวิชายิมนาสติกเข้าไว้ในหลักสูตรของโรงเรียนในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
และในปี พ.ศ. 2383-พ.ศ.2467 นายดัดเลย์ เอ ซาเกนท์ (Dudley A Sargent) ชาวอเมริกา เป็นครูสอนยิมนาสติกที่วิทยาลัยโบวดอย (Bowdoin lleqen) ซึ่งเขาได้บรรจุยิมนาสติกไว้ในหลักสูตรระดับวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ
นอกจากนั้นยังมีสมาคมที่ให้การสนับสนุนและส่งเสริมกีฬายิมนาสติก คือ สมาคม Y.M.C.A. (The Young Men’s Christian
Association) ได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์ยิมนาสติกไว้ในโรงยิมเนเซียม
และมีครูสอนเพื่อบริการแก่สมาชิกที่เข้ามาเล่น
จึงทำให้ยิมนาสติกได้รับความนิยมและแพร่หลายอย่างรวดเร็ว
ส่วนประเทศในแถบเอเชียที่มีการฝึกอย่างจริงจังคือ จีน รัสเซีย และญี่ปุ่น





ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น